เทศน์เช้า วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
นี่เห็นไหมเรามาทำบุญกุศลกัน บุญกุศลนี่ทำเพื่อให้หัวใจ แต่เอาหัวใจทำกับหัวใจได้ไหม หัวใจเป็นความรู้สึกใช่ไหม มันทำไม่ได้ เรื่องของหัวใจมันต้องอาศัยวัตถุ อาศัยเรื่องการสละทาน เรื่องการสละ การให้ทานนี่เรื่องของใจ แต่เรามองไปแล้วคนมองกันแต่เรื่องวัตถุ เห็นไหม
อาหารนะ ดูสิ แกงหม้อหนึ่ง เห็นไหม มะพร้าวเอามาจากไหน มะเขือเอามาจากไหน เขาก็ต้องทำไร่ไถนาขึ้นมา แล้วเขาถึงเอามาแกงใช่ไหม แล้วแกงเสร็จแล้วขึ้นมา มาตักใส่ปากก็เป็นแค่อาหารใช่ไหม แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติเราบอกว่าสว่างโพลง สว่างโพลง สว่างโพลงมาจากไหน?
อาหารของกาย อาหารของใจ อาหารของกายนี่กว่าจะทำแกงได้แต่ละหม้อ กว่าจะต้มยำ กว่าจะทำอะไรกันมา เราต้องหาอุปกรณ์ หาเครื่องแกงมา กว่าจะได้แต่ละชิ้นมา เห็นไหมการแสวงหา แล้วโลกปัจจุบันนี้ วิทยาศาสตร์มันเจริญ ทุกอย่างใส่กระป๋องหมดเลย เสร็จแล้วก็มาแกะใส่ๆ แล้วมันอร่อยไหมล่ะ เราก็ยังหาเป็นของนะ
ดูสิ เขาเลี้ยงไก่กัน เห็นไหม ไก่พันธุ์ แล้วก็ต้องไก่พื้นเมืองดีกว่า ทุกอย่างดีกว่า ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติ อาหารของใจ สว่างโพลง สว่างโพลง มันสว่างโพลงมาจากไหน สว่างโพลงมันเป็นผลนะ มันเป็นแกงหม้อนั้นแล้ว ถ้าแกงหม้อนี้แล้ว แกงหม้อนี้จะไปตั้งที่ไหนก็ได้ใช่ไหม? แต่แกงหม้อนี้มันทำมาอย่างไร? แกงหม้อนี้เขาเอาอะไรมาเป็นแกง?
นี่ศาสนา เถรวาทเราเป็นอย่างนี้ไง เถรวาทมันเริ่มจากทาน ศีล ภาวนา เริ่มจากมีการทำทาน ทำทานคือการเตรียมพร้อมก่อนไง ต้องเตรียมหัวใจให้พร้อมก่อน ไม่ใช่ว่าไม่ต้องทำอะไรเลย สว่างโพลง นั่งเฉยๆ ก็สว่างโพลง สว่างโพลงมาจากไหน?
แล้วเราก็ชอบกันนะ ทางลัดๆ น่ะ ลัดไปไหน ลัดลงนรก ถ้ามันลัดลงนรกได้ เพราะถ้าทางลัดมันมีอยู่นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนก่อน
ในมหายานนะ ผู้ที่เป็นศาสดาของเขาคือพระกัสสปะ ในอัครสาวก ๘๐ องค์ เอตทัคคะเห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้ง ผู้มีปัญญามากคือพระสารีบุตร ผู้มีฤทธิ์มากคือพระโมคคัลลานะ ผู้ที่ถือธุดงควัตรคือพระกัสสปะ แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชูดอกไม้ขึ้นมาดอกหนึ่ง พระสารีบุตรยังไม่เข้าใจ แต่พระกัสสปะยิ้ม เห็นไหม มหายานถือตรงนี้ว่ามันเป็นทางลัดๆ แต่เวลาพระกัสสปะนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามในพระไตรปิฎก กัสสปะเอย เธอก็อายุปานเรา เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน ทำไมต้องมาถือธุดงควัตรอีก? สังฆาฏินี่เย็บปะๆ ตั้ง ๘ ชั้นแล้ว
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขอเปลี่ยนเลย พระกัสสปะบอกว่า ที่ข้าพเจ้าถือธุดงควัตรอยู่นี่ ไม่ใช่ตัวของข้าพเจ้าเองหรอก
เพราะพระกัสสปะเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ที่ถือธุดงควัตร ธุดงควัตรคืออะไรล่ะ การฉันมื้อเดียว การถือเนสัชชิก การอดนอน การผ่อนอาหาร นี่มันอยู่ในธุดงควัตรทั้งหมด แล้วพระกัสสปะนี่เป็นพระที่ถือธุดงควัตรเคร่งครัดที่สุด เป็นเอตทัคคะในทางถือธุดงควัตร เห็นไหม ถือธุดงควัตรก็เพื่อเป็นการขัดเกลากิเลส นี่มันต้องมีที่มาที่ไปอย่างนี้สิ
ไม่ต้องทำอะไรเลย นั่งอยู่เฉยๆ สว่างโพลง มันจะสว่างโพลงมาจากไหน?
เวลาเขาทำเหตุกันไม่คิดถึง แกงหม้อนี้มันมาจากไหน? แกงหม้อนี้! มันเป็นผลของการประพฤติปฏิบัติแล้ว ไอ้สว่างโพลงนั้นน่ะ แต่เริ่มต้นประพฤติปฏิบัติมันก็เหมือนกัน เวลาครูบาอาจารย์เราเทศน์นะ เวลาจิตมันชำระกิเลส เห็นไหม ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้นเท่านั้น แวบ ขาดเลย แต่กว่ามันจะแวบนี่นะ เราต้องสร้างทาน สร้างบารมีกันมา พระอรหันต์ต้องสร้างบารมีมาเป็นแสนกัป แล้วมาสว่างโพลง เราไม่ได้คิดถึงฐานกันเลยนะ
นี่เถรวาทเราเริ่มต้นเอาหมดไง เอามาตั้งแต่รากตั้งแต่เหง้า คือครอบครัวตั้งแต่ปู่ย่าตายายมีหมด เห็นไหม แต่ไม่ใช่ว่าในสังคมของเรามีแต่ปู่ย่าตายาย ลูกหลานไม่เอาเลย ไม่ต้องทำ ลูกหลานนี่ฆ่ามันทิ้งให้หมด เหลือแต่ปู่ย่าตายายอยู่ มันจะเป็นไปได้อย่างไร ศาสนามันก็อยู่ด้วยไม่ได้ เห็นไหม
ทาน ศีล ภาวนา มันเริ่มจากทานขึ้นมา ฝึกฝนกันมา เพื่อศาสนามั่นคงแข็งแรง เพื่อความแข็งแรงของศาสนา ให้เด็กมันเข้าใจเรื่องศาสนา เห็นไหม ดูสิ ประเพณีวัฒนธรรมมันอยู่ในกระดาษไหม ไม่อยู่ในกระดาษหรอก มันอยู่ในสายเลือด มันอยู่ในสายเลือดนะ ประเพณีวัฒนธรรมที่ไหนก็แล้วแต่ เวลาเขาจัดงานประเพณีเขาขึ้นมา เขากลับไปหมู่บ้านไหน เขาทำมันกันได้พร้อมเลย เพราะมันอยู่ในสายเลือดใช่ไหม?
นี่ก็เหมือนกัน ในการเราฝึกเด็กของเราขึ้นมา มันฝึกทาน เรื่องทาน เรื่องการทำบุญกุศลขึ้นมา ให้เด็กมันเข้าใจในสายเลือดใช่ไหม ถ้าไม่มีสายเลือด ไม่ฝึกเด็กรุ่นใหม่ไว้เลย ศาสนามั่นคงมาจากไหนล่ะ?
แต่ไม่ต้องทำอะไร ทำอะไรก็ไม่ได้ผลหรอก ให้สว่างโพลงขึ้นมาเฉยๆ เราก็ไปเชื่อกัน เราจะทิ้งรากเหง้าของเราเอง รากเหง้าของพวกเรา รากหญ้าของพวกเรา รากของศีลธรรม จริยธรรมของเรา ของศาสนาพุทธเรา ในเถรวาทเรานี่เขาถือกันมาอย่างนี้ไง ให้มีกตัญญูกตเวที ให้เคารพผู้ใหญ่ ให้น่ะ แล้วบอกไม่ต้องทำๆ จะสว่างโพลงอย่างเดียวเลย สว่างโพลงมาจากไม้กระบอกเหรอ? มันสว่างโพลงมาจากไม้กระบอกไม่ได้!
มันสว่างโพลง เราต้องมีพ่อแม่ มีปู่ย่าตายาย มีครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์เราสั่งสอนเรามา เห็นไหม ฝึกฝนเรามา ฝึกฝนเรามานะ เพราะอะไร ถ้าคนไม่เคยปฏิบัติจะไม่เข้าใจเรื่องอย่างนี้ ใช่..มันสว่างโพลง สมาธิทำจิตสงบลงมันสว่างเหมือนกัน สว่างในขั้นของสมาธิก็มี สว่างในขั้นของปัญญาก็มี สว่างในขั้นของวิมุตติก็มี แล้วสว่างขั้นไหน?
ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์คอยบอกว่าสว่างขั้นนี้ มันเป็นสว่างแค่พื้นฐานนะ สว่างอย่างนี้มันสว่างม้วนเสื่อนะ ถ้าเอ็งไม่รักษา เอ็งไม่ดูแลของเอ็งนะ เดี๋ยวเอ็งจะเป็นกรรมฐานม้วนเสื่อเพราะอะไร เพราะเป็นอนิจจัง ถ้าเป็นขั้นสมถะ มันอนิจจัง มันสว่างชั่วคราวไง เพราะเรารักษาเหตุได้แค่นี้ เห็นไหม เหตุแค่นี้ได้สว่างแค่นี้ เหตุมากขึ้นไปได้สว่างมากขึ้นไป เหตุสมควรแก่มันแล้วมันสมุจเฉทปหาน สว่างอย่างนี้ไม่กลับอีกเลย ไม่กลับยอกย้อนอีกเด็ดขาด มันมีของมัน ขั้นสว่างมันก็มีตั้งหลายขั้น
แล้วครูบาอาจารย์ประพฤติปฏิบัติมาแต่ละขั้นแต่ละตอนขึ้นมา ท่านสมบุกสมบันมาของท่านขนาดไหน เห็นไหม เวลาหลวงปู่มั่นท่านสมบุกสมบันมา โอ..ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้น แล้วกิเลสมันเหนือนั้น กิเลสมันอยู่กับตาย! ถ้าบอกว่าตายๆๆ กิเลสมันกลัว เห็นไหม มรณานุสติ เรากำหนดก่อน ว่าเรานึกถึงความตาย
ถ้าคนต้องมีอำนาจวาสนา เห็นไหม คนทุกคนไม่ใช่นึกถึงความตายจะเป็นประโยชน์อยู่ตลอดไปนะ บางคนนึกถึงความตายแล้วสร้อยเศร้าเหงาหงอย นึกถึงความตายแล้วไม่ดีก็มี นึกถึงความตายดีก็มี นึกถึงต่างๆ เห็นไหม เพราะอะไร เพราะคนมันฮึกเหิม คนที่มันต้องการแต่เอารัดเอาเปรียบเขา คิดถึงความตาย เอ็งเอาเปรียบเขามา เอ็งทำลายเขามา แล้วเอ็งตายไปเอ็งได้อะไรขึ้นมา เห็นไหม มันก็ไม่อยากไปทำลายเขา คนที่จิตใจมันอ่อนโยนอยู่แล้ว พอคิดถึงความตายมันเลยขาอ่อนเลย ไปไม่ได้เลย
นี่ถึงว่าการประพฤติปฏิบัติมันอยู่ที่จริตนิสัย อยู่ที่ครูบาอาจารย์จะคอยชี้นำ เห็นไหม คำบริกรรมต้องมี ๔๐ วิธีการ ๔๐ วิธีการเพื่อจะให้จิตที่หลากหลายกัน หัวใจของแต่ละคนมันหลากหลาย มันอยู่ที่พื้นฐานของหัวใจ มันเข้มแข็ง มันอ่อนแอ มันปานกลางขนาดไหน ถ้าเอาสิ่งนั้น ให้สิ่งนั้นเป็นเครื่องมือดำเนินไป
เด็กแต่ละคนที่มันจะดำเนินไป มันมีวิธีการของมัน เด็กแต่ละขั้นตอนมันมีเครื่องมือดำเนินการ แล้วจะไปปัดทิ้งเลย นี่เป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่รื้อค้นมาเป็นพระโพธิสัตว์ รื้อค้นสิ่งนี้มาประดับไว้ให้ลูกหลาน ให้พวกเรานี่ จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ ให้พวกเราใช้เป็นเครื่องมือ เป็นเครื่องมือดำเนินปราบกิเลสนะ
เครื่องมือวิธีการนี่ปราบกิเลส ปราบกิเลสด้วยวิธีการของเราเองนี่แหละ ปราบกิเลสด้วยการเดินจงกรม ปราบกิเลสด้วยการทรมานมัน ปราบเรา เราต้องปราบเรา จะไม่มีใครปราบให้เราได้เลย เราต้องปราบของเราเอง
แล้วบอกสิ่งนี้ก็ไม่เป็นประโยชน์ สิ่งนี้ก็ทำให้ทุกข์ให้ยาก สิ่งนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย จะนอนจมกันอยู่อย่างนั้นว่านิพพาน นิพพาน นิพพานนอนจมอยู่กองมูตรกองคูถ อย่างนั้นเป็นนิพพานได้อย่างไร? เป็นนิพพานไปไม่ได้! เป็นนิพพานไป คนที่เป็นนิพพานต้องรู้จากใจดวงนั้นเอง ใจดวงนั้นจะเห็นการกระทำของใจดวงนั้นว่ามันทำของมัน สภาวะของใจมันเป็นอย่างไร มันแปรปรวนอย่างไร จะไม่มีความลังเลสงสัยเลย จะเห็นแจ้งในหัวใจของเราเอง
นี่สว่างมันต้องสว่างอย่างนี้สิ ไม่ใช่สว่างโพลง สว่างโพลง สว่างนี่อะไร สว่างนี่อะไร ก็เอ็งถือไฟมาเอ็งยังไม่รู้จักไฟ แล้วเอ็งจะมาถามข้าอย่างไรว่านั่นคือความสว่าง มันเป็นไปไม่ได้ เห็นไหม เราถือไฟมากับเราเอง เราบอกนี่ไม่ใช่ไฟ มันจะเป็นไปได้อย่างไร?
เราถือไฟมา มันก็มีความร้อนอยู่แล้ว มันมีแสงสว่างอยู่แล้ว แต่มันสว่างของใคร สว่างของกิเลส กิเลสมันพาสว่างไง กิเลสมันพาหลอกไง หลอกให้เราจมอยู่ในอำนาจของมัน แล้วว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆๆ นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งๆ ที่เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่กิเลสมันพาใช้ ใช้ทำลายโอกาสของเรา เห็นไหม
เราเก็บหอมรอมริบนะ เราเป็นเด็กนะ เรารู้จักสร้างสมของเราขึ้นมานะ มันต้องเป็นผู้ใหญ่ไปข้างหน้าทุกวัน เห็นไหม คนเรานี่เป็นเด็กๆ ความรู้ไม่มีอะไรเลย ก็บอกว่าสิ่งนั้นเป็นความเข้าใจไปหมดเลยแหละ ผู้ใหญ่หัวเราะเยาะนะ ผู้ใหญ่เขาผ่านชีวิตมา เขาเห็นเลยว่าเด็กคนนี้มันไม่รู้อะไรของมันเลย มันยังมีประสบการณ์ข้างหน้าอีกมหาศาลเลย สังคมโลกนี้มันยังมีความลึกลับซับซ้อนอีกมหาศาลเลย มันไม่เข้าใจสิ่งใดๆ เลย แล้วมันบอกมันเข้าใจ
แต่ถ้าเราอ่อนน้อมถ่อมตนในศาสนาของเรามานะ ผู้มีธรรมจะอ่อนน้อมถ่อมตน อ่อนน้อมถ่อมตนกับเรื่องความเป็นไปนะ แต่ไม่เคยอ่อนน้อมถ่อมตนให้กับกิเลสเลย กิเลสอ่อนน้อมถ่อมตนกับมันไม่ได้ เพราะกิเลสนี่มันมีอำนาจเหนือเราทุกคน มันเหนือ เหนือทุกๆ หัวใจ เห็นไหม ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสแล้วเราต้องเข้มแข้ง
แต่ถ้าเราเข้มแข็งกับกิเลส ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ว่าเป็นความลบหลู่ จะลบหลู่กิเลสไง จะเอากิเลสไว้ในอำนาจของเราไง มันต้องเข้มแข็ง เข้มแข็งจากภายใน เห็นไหม นี่อ่อนน้อมถ่อมตนกับความเป็นไปกระแสของสังคม ให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข เราไม่เอาเปรียบเขา เราเสียสละทุกๆ อย่างเลยเพื่อสังคม แต่หัวใจเรา เราไม่ยอมให้มันเหนือเรา
ไอ้นี่ไม่เป็นอย่างนั้นเลย สรรพสิ่งอะไรแล้วแต่ไม่สำคัญทั้งนั้นเลย สำคัญแต่ว่าไอ้กิเลสตัวใหญ่ๆ นี่บอกว่าสว่างๆ อย่างนี้ สว่างเป็นไปไม่ได้หรอก มันต้องมีที่มาที่ไปนะ มันมีที่มาที่ไปตั้งแต่เราเป็นเด็กมา ตั้งแต่เราฝึกฝนมา ตั้งแต่ผ่านครูบาอาจารย์มา นี้เป็นชาติปัจจุบันนี้เท่านั้นแหละ
แล้วที่มาที่ไป เห็นไหม ดูสิ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ย้อนอดีตชาติไป ใจที่มันสะสมมาเป็นจริตนิสัย มันมาจากไหน สิ่งที่มันเป็นไปมันมาจากไหน มันมาจากซับสมมานั่นน่ะ ถ้าภาวนาไปต้องเห็นหมด ต้องรู้หมด ถ้าไม่รู้ไม่เห็น มันเป็นความลังเลสงสัย มันเป็นพระโสดาบันไม่ได้ พระโสดาบันไม่ลูบคลำ ไม่สีลัพพตปรามาส ไม่ลูบคลำในธรรมแล้ว มันจะเห็นสภาวะแบบนั้นเป็นตามความเป็นจริง แล้วมันจะมาพูดกันปาวๆๆๆ โดยแต่ปากอย่างนั้นได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ แล้วเราก็เป็นเหยื่อกันนะ
มันเสียดาย เสียดายว่าเราเป็นชาวพุทธ เห็นไหม พุทธศาสนา พุทธศาสนานี่สอนอย่างไร แล้วนี่เราก็ไปเชื่อเขา เชื่อมงคลตื่นข่าว เชื่อแต่โลกๆ ไปข้างนอก แล้วเราก็ตามๆ เขาไป นี่เรื่องของศาสนานะ นี่อาหารของใจ
อาหารของกาย แกงแต่ละหม้อน่ะ กว่าจะเป็นอาหารขึ้นมา มันเป็นอาหารที่เราแสวงหามาด้วยความทุกข์ความยาก แล้วเดี๋ยวนี้มันเป็นอาหารขยะ ส่งถึงบ้าน! ส่งถึงบ้าน! นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะส่งถึงบ้าน! ธรรมะส่งถึงใจ สว่างโพลง สว่างโพลง จมกับกิเลสไปตลอด เห็นไหม มันเป็นเรื่องของอาหาร เรื่องของโลกเขาที่เป็นเรื่องของสมมุติ เรื่องของธรรมสมมุติไม่ได้ เรื่องของธรรมเป็นความจริง สมาธิก็สมาธิจริงๆ ปัญญาก็เป็นปัญญาจริงๆ
สิ่งที่เกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาจากใจเราจริงๆ ไม่ใช่เกิดขึ้นมาจากความสำคัญมั่นหมาย ไม่ใช่เกิดขึ้นมาจากการสัญญาอารมณ์ของเรา แล้วว่าเป็นสว่างโพลง สว่างโพลง มันจะไปจมข้างหน้าแน่นอน มันจะต้องไปหกล้มหกลุกแน่นอน เพราะกิเลสมันไม่ได้ทำลายแม้แต่ตัวเดียว พอกิเลสมันมีอำนาจขึ้นมา มันต้องม้วนเสื่อแน่นอน
เราถึงต้องมีครูมีอาจารย์นะ สมบัติของเรา นี่ชาวพุทธ เราเป็นชาวพุทธนะ สมบัติของเรา ศาสนาของเรา แล้วทำไมมันก็พุทธเหมือนกัน แต่พุทธคนละแขนง แล้วเราจะไปเชื่อเขาได้อย่างไร เราไปเชื่อเขาโดยที่ว่าเขาเอาแกงหม้อนั้นมาตั้ง เอาอาหารขยะมาให้เราดู เราว่าอาหารนี้อร่อยๆ กินไปแล้วนะ เราทำอะไรก็ไม่เป็น
แต่ถ้าเป็นแกง เป็นน้ำพริกอะไรของเรา เราหาได้จากพื้นบ้านของเรา เราหาบ้านในศาสนาของเรา เราหาของเราขึ้นมา เราสร้างของเราขึ้นมา เห็นไหม สมาธิก็ของเรา สติก็ของเรา หัวใจก็ของเรา แล้วทำไมเราไม่ทำขึ้นมา? ทำไมต้องไปตื่นข่าวข้างนอก?
เอาตรงนี้ เอาหัวใจของเรานี่ เอาให้เข้าอย่างนี้ อาหารของใจมันเป็นไปได้จริงๆ มันพิสูจน์ได้จากหัวใจของเรา พิสูจน์กันได้จากความรู้สึกเรา อยู่กับเราทั้งนั้นเลย อย่าให้ใครมาหลอก เอวัง